เมนู

[840] ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดเป็นพหูสูตคงแก่
เรียน แต่ทำบาปธรรมไว้ ไม่ประพฤติธรรมเลย
ผู้นั้นถึงจะมีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ไม่ถึงจรณะ ก็ไม่พ้นทุกข์.
[841] คนแม้มีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์
นั้น แต่ยังไม่ถึงจรณะ ยังไม่พ้นทุกข์
อาตมาภาพเข้าใจว่า พระเวททั้งหลายเป็นสิ่ง
ที่ไร้ผล จรณะคือการสำรวมอย่างดีเท่านั้น
แหละ เป็นของจริง.
[842] พระเวทไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีผลเลย จรณะ
คือการสำรวมระวังเท่านั้น เป็นของจริงก็หา
มิได้ คนอาศัยพระเวทแล้ว ได้รับเกียรติก็มี
ผู้ฝึกตนแล้วด้วยจรณะ จะบรรลุความสงบได้.

จบ เสตเกตุชาดกที่ 2

อรรถกถาเสตเกตุชาดกที่ 2



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุผู้โกหก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า มา ตาต กุชฺฌิ น หิ สาธุ

โกโธ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีชัดในกุททาลชาดก.
ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในนครพาราณสี
สอนมนต์มาณพ 500 คน. หัวหน้ามาณพเหล่านั้นชื่อว่า เสตเกตุ
เป็นมาณพเกิดในสกุลอุททิจพราหมณ์. เขาได้มีมานะมาก เพราะอาศัย
ชาติตระกูล. อยู่มาวันหนึ่ง เขาออกจากพระนครไปพร้อมกับมาณพอื่น ๆ
ได้เห็นจัณฑาลคนหนึ่ง กำลังเข้าพระนคร จึงถามว่า เจ้าเป็นใคร ?
เมื่อเขาตอบว่า เป็นจัณฑาล จึงพูดว่า ฉิบหาย ไอ้จัณฑาล กาลกรรณี
เอ็งจงไปใต้ลมดังนี้ เพราะกลัวลมที่พัดผ่านตัวของเขาจะมากระทบร่าง
ของตน แล้วได้ไปเหนือลมโดยเร็ว. แต่คนจัณฑาลเดินเร็วกว่า จึงได้
ไปยินเหนือลมเขา. เมื่อมีเหตุการณ์อยู่หมั้น มาณพนั้น ก็ได้ด่าแช่ง
เขาอย่างหนักว่า ฉิบหาย ไอ้ถ่อย กาลกรรณี. คนจัณฑาล ครั้นได้
ฟังคำนั้นแล้ว จึงถามว่า คุณเป็นใคร ?
พ. ฉันเป็นพราหมณมาณพสิ
จ. เป็นพราหมณ์ ก็เป็นไม่ว่า แต่คุณสามารถจะตอบปัญหา
ที่ผมถามได้ไหม ?
พ. เออได้ซิ
จ. ถ้าแม้ว่าคุณไม่สามารถตอบได้ไซร้ ผมจะให้คุณลอดหว่าง
ขาผม

เขาตรึกตรองดูตัวเองแล้ว พูดว่า แกถามได้
บุตรคนจัณฑาล ให้บริษัทเพื่อนของมาณพนั้น. ยึดถือถ้อยคำ
สัญญานั้นแล้ว ถามปัญหาว่า ข้าแต่ท่านมาณพ ธรรมดาทิศมีเท่าไร ?
พ. ธรรมดาทิศมี 4 มีทิศตะวันออกเป็นต้น.
คนจัณฑาลพูดว่า ผมไม่ได้ถามคุณถึงทิศนั้น แม้เท่านี้คุณก็ไม่รู้
ยังรังเกียจลมที่พัดผ่านตัวผม. แล้วจับคอเขาโน้มลงมาลอดหว่างขาของ
ตน. มาณพทั้งหลายได้บอกพฤติการณ์นั้นแก่อาจารย์. อาจารย์ครั้นได้
ฟังคำนั้นแล้ว จึงถามเขาว่า พ่อเสตเกตุ จริงไหม ? ได้ทราบว่าเจ้า
ถูกคนจัณฑาลให้ลอดหว่างขา.
มาณพตอบว่า จริงอาจารย์ ลูกของอีทาสีจัณฑาลนั้นว่าผมว่า
แม้เพียงแต่ทิศคุณก็ไม่รู้ แล้วให้ผมลอดหว่างขาของตน ทีนี้ผมเห็นมัน
แล้ว จักแก้แค้นมัน. โกรธแล้ว ด่า แช่ง ลูกคนจัณฑาล. ครั้งนั้น
อาจารย์ เมื่อโอวาทเขาว่า พ่อเสตเกตุเอ๋ย เจ้าอย่าโกรธเขา ลูกคน
จัณฑาลเป็นบัณฑิต เขาไม่ได้ถามเจ้าถึงทิศนั้น แต่เขาถามถึงทิศอื่น ก็
ทิศที่เจ้ายังไม่เห็นไม่ได้ยินและยังไม่รู้นั่นแหละ มีมากกว่าทิศที่เจ้าได้
เห็นได้ยินและได้รู้มาแล้ว. ดังนี้แล้วจึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาไว้ว่า:-
พ่อเอ๋ย พ่ออย่าโกรธเลย เพราะความ
โกรธไม่ดี ที่เจ้ายังไม่เห็นและยังไม่ได้ยินมี
เป็นอันมาก พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดาบิดาก็เป็น

ทิศ ๆ หนึ่ง บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญอาจารย์
เรียกว่าเป็นทิศ ๆ หนึ่ง คฤหัสถ์ทั้งหลายเป็น
ผู้ถวายข้าว น้ำและผ้านุ่งห่ม ส่วนสมณะ
พราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้เรียกร้อง บัณฑิตทั้ง
หลายเรียกสมณะและพราหมณ์ แม้นั้นว่าเป็น
ทิศ ๆ หนึ่ง พ่อเสตเกตุเอ๋ย ทิศนี้เป็นยอดทิศ
เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีทุกข์ไปถึงแล้วจะมีความ
สุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ สาธุ โกโธ ความว่า ธรรมดา
ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ให้รู้คำสุภาษิตและพุทธภาษิต ประโยชน์
และมิใช่ประโยชน์ ความเกื้อกูลและไม่เกื้อกูล เพราะฉะนั้น ความโกรธ
จึงไม่ดีเลย. บทว่า พหุมฺปิ เต อทิฏฺฐํ ความว่า อาจารย์กล่าวว่า ทิศที่
เจ้ายังไม่เห็นด้วยตา และยังไม่ได้ยินด้วยหูยังมีมากกว่า. ทิศเหล่านั้นคือ
มารดาบิดา ผู้ชื่อว่ากลายเป็นทิศเบื้องหน้าคือตะวันออก เพราะเกิดก่อน
กว่าบุตรทั้งหลาย. บทว่า อาจริยมาหุ ทิสตํ ปสฏฺฐา ความว่า พระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวแล้วคือบอก ได้แก่แสดง
หรือพูดว่า แต่อาจารย์ทั้งหลาย ผู้ถูกสรรเสริญว่าเป็นทิศ ๆ หนึ่ง คือเป็น
ทิศเบื้องขวา เพระเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาคือการเคารพ. บทว่า อคาริโน

ได้แก่คฤหัสถ์นั่นเอง บทว่า อนฺนปานวตฺถทา ได้แก่ เป็นผู้ให้ข้าว
เป็นผู้ให้น้ำและเป็นผู้ให้ผ้านุ่งห่ม. บทว่า อวฺหายิกา ได้แก่เป็นผู้ร้อง
นิมนต์ว่า นิมนต์มาเถิด นิมนต์รับไทยธรรม. บทว่า ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ
ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกแม้ผู้นั้นว่า
เป็นทิศนั้นทิศหนึ่ง. ด้วยบทนี้ อาจารย์แสดงว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ถวาย
ปัจจัย 4 ชื่อว่าเป็นทิศนั้นเพราะเป็นผู้ที่สมณะพราหมณ์ทั้งหลายผู้ทรง
ธรรม จะต้องเข้าไปหาโดยเรียกร้องปัจจัย 4. อีกนัยหนึ่ง สมณะ
พราหมณ์ทั้งหลายผู้ทรงธรรม ชื่อว่าผู้เรียกร้องคืออวหายิกะ เพราะเรียก
ร้องคุณความดีสูง ๆ ขึ้นไปมาให้โดยความหมายว่า เป็นผู้ให้ซึ่งสวรรค์
สมบัติในฉกามาวจรแก่คฤหัสถ์ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ถวายข้าว น้ำและ
ผ้านุ่งห่ม. ด้วยบทว่า ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ ท่านอาจารย์แสดงว่า พระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกแม้สมณะพราหมณ์ผู้ทรง
ธรรมนั้นว่า ชื่อว่าเป็นทิศเบื้องบน. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้ว่า :-
มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า - ตะวันออก
อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวาขวา - ใต้ บุตรภรรยาเป็น
ทิศเบื้องหลัง - ตะวันตก มิตรและอำมาตย์เป็น
ทิศเบื้องซ้าย - เหนือ ทาสและกรรมกรเป็นทิศ

เบื้องล่าง สมณะพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้ไม่ประมาท ควรนมัสการ
ทิศเหล่านี้.

ก็คำว่า เอสา ทิสา นี้ อาจารย์กล่าวหมายเอาพระนิพพาน.
เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นทุกข์ เพราะทุกข์นานัปปการมีความเกิดเป็น
ต้น บรรลุพระนิพพานนั้นแล้ว จะหมดทุกข์ คือเป็นผู้มีความสุข. และ
ทิศนั่นเอง คือพระนิพพาน ชื่อว่าเป็นทิศที่สัตว์ทั้งหลายไม่เคย ไปแล้ว.
อนึ่ง ด้วยคำว่า เอสา ทิสา นั้นนั่นเอง อาจารย์จึงกล่าวถึงพระนิพพาน
ว่า เป็นทิศชั้นยอด. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า :-
บุคคลผู้ประสงค์จะไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป
คือพระนิพพาน ต้องตามรักษาจิตของตน
เหมือนคนประคองภาชนะน้ำมันที่เต็มเสมอ
ขอบปาก ไม่มีพร่องไว้ฉะนั้น.

พระมหาสัตว์ บอกทิศทั้งหลายแก่มาณพด้วยอาการอย่างนี้. แต่
มาณพคิดเสียใจว่า เราถูกคนจัณฑาลให้ลอดหว่างขา ละอายเพื่อน จึง
ไม่อยู่ในที่นั้น ไปยังเมืองตักกศิลา เรียนศิลปทุกอย่าง ในสำนักของ
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ จบแล้วอาจารย์อนุญาตให้ไป จึงออกจากเมือง
ตักกศิลา เที่ยวหาเรียนศิลปะของทุกลัทธิ. เข้าไปถึงบ้านชายแดนแห่ง

หนึ่ง อาศัยบ้านนั้นอยู่ เห็นดาบส 500 รูป จึงบวชในสำนักของท่าน
แล้วเรียนศิลปะบ้าง มนต์บ้าง จรณะบ้าง ที่ท่านเหล่านั้นรู้ ได้เป็น
หัวหน้าคณะ มีดาบสเหล่านั้นห้อมล้อมไปยังนครพาราณสี รุ่งขึ้นไป
เที่ยวภิกขาจาร ได้ไปถึงพระลานหลวง. พระราชาทรงเลื่อมใสในอิริยา-
บถของดาบสทั้งหลาย นิมนต์ให้ฉันภายในพระนิเวศน์ แล้วทรงให้ท่าน
เหล่านี้พำนักอยู่ในพระราชอุทยานของพระองค์. อยู่มาวันหนึ่ง พระ-
องค์ทรงอังคาสดาบสทั้งหลายแล้วตรัสว่า วันนี้เวลาเย็นโยมจะไปพระ-
ราชอุทยาน ไหว้พระคุณเจ้าทั้งหลาย. เสตเกตุดาบส ไปยังพระราช-
อุทยานแล้ว ประชุมดาบสพูดว่า ดูก่อนสหายร่วมชีวิตทั้งหลาย วันนี้
พระราชาจักเสด็จมา. ท่านชี้แจงว่า ธรรมดาพระราชาทั้งหลายทรงโปรด
ปรานครั้งเดียว ก็สามารถให้คนดำรงชีพอยู่เป็นได้ชั่วอายุ วันนี้ขอให้
พวกเราบางพวกเดินเป็นกลุ่ม ๆ ไป บางพวกนอนบนหนาม บางพวก
บำเพ็ญตบะ 5 อย่าง บางพวกประกอบความเพียรวิธีกระโหย่งเท้า
บางพวกลงน้ำ บางพวกสาธยายมนต์ ดังนี้แล้วตัวท่านเอง นั่งบนตั่งที่ไม่
มีพนักพิง ที่ประตูบรรณศาลาวางคัมภีร์ 1 คัมภีร์ ที่รุ่งเรืองด้วยรงค-
เบญจวรรณแวววาว ไว้บนกากะเยียที่มีสีงดงาม แล้วแก้ปัญหาที่มาณพ
สี่ ห้า คนซักถามมา. ขณะนั้นพระราชาเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็น
ดาบสเหล่านั้นบำเพ็ญมิจคฉาตบะ คือตบะผิดพอพระราชหฤทัย จึงเสด็จ
เข้าไปหาเสตเกตุดาบส ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง

เมื่อทรงปราศัยกับท่านปุโรหิต จึงได้ตรัสคาถาที่ 3 ว่า :-
ชฎิลเหล่าใด ผู้นุ่งหนังสัตว์ที่แข็งกระด้าง
มีพื้นสกปรก มีรูปร่างเศร้าหมอง ร่ายมนต์อยู่
ชฎิลเหล่านั้น ดำรงอยู่ในความเพียรของมนุษย์
รู้โลกนี้แล้ว จะพ้นจากอบายหรือไม่หนอ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขราชินา ได้แก่ ผู้นุ่งห่มหนังสัตว์
ที่มีกีบเล็บ. บทว่า ปงฺกทนฺตา ได้แก่ มีฟันมีขี้ฟันเขลอะ เพราะไม่
ได้สีฟัน. บทว่า ทุมุกฺขรูปา ได้แก่ มีผ้านุ่งผ้าห่มปอน ไม่ได้ซัก
ไม่ได้ตกแต่ง คือเว้นจากระเบียบของหอมและเครื่องลูบไล้. มีอธิบายว่า
ได้แก่ มีรูปร่างมอมแมม. บทว่า เยเม ชปนฺติ ความว่า ชฎิลเหล่านี้
ได้ร่ายมนต์อยู่. บทว่า มานุสิเก ปโยเค ความว่า ดำรงอยู่แล้ว
ความเพียรที่คนทั้งหลายต้องทำกัน. บทว่า อิทํ วิทู ปริมุตฺตา อปายา
ความว่า ถามว่า ฤษีเหล่านั้น ครั้นตั้งอยู่ในความเพียรรู้โลกนี้แล้ว
คือทำให้ปรากฏแล้ว จะพ้นจากอบายทั้ง 4 ได้หรือไม่หนอ ?
ปุโรหิตฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้ทูลคาถาที่ 4 ว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดเป็นพหูสูต คงแก่
เรียน แต่ทำบาปกรรมไว้ ไม่ประพฤติธรรมเลย

ผู้นั้นถึงจะมีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ไม่ถึงจรณะ ก็ไม่พ้นทุกข์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กริตฺวา ได้แก่ กตฺวา แปลว่าทำแล้ว
บทว่า จรณํ ได้แก่สมาบัติ 8 พร้อมด้วยศีล. มีคำอธิบายไว้ว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้าผู้ใดสำคัญว่า เราเป็นพหูสูต แม้มีความรู้ตั้งพันแต่ไม่
ประพฤติสุจริต 3 อย่าง ทำแต่บาปอย่างเดียว ผู้นั้นครั้นทำบาปกรรม
เหล่านั้นแล้ว อาศัยความเป็นพหูสูตนั้น แต่ไม่บรรลุจรณะ กล่าวคือ
ศีลและสมาบัติ ก็คงไม่พ้นทุกข์ คือไม่พ้นจากอบายทุกข์ไปได้เลย.
พระราชาครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงนำไปแล้วซึ่งความเลื่อม
ใสในดาบสทั้งหลาย ลำดับนั้น เสตเกตุดาบส จึงคิดว่าพระราชานี้ได้
เกิดความเลื่อมใสในดาบสทั้งหลายแล้ว. แต่ปุโรหิตคนนี้บั่นทอนความ
เลื่อมใสนั้น เหมือนเอามีดฟัน เราควรจะทูลกับพระราชานั้น.
ท่านเมื่อทูลกับพระราชา ได้ถวายพระพรคาถาที่ 5 ว่า :-
คนแม้มีเวทมนต์ตั้งพันอาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ยังไม่ถึงจรณะ ยังไม่พ้นทุกข์ อาตมภาพ
เข้าใจว่า พระเวททั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไร้ผล
จรณะคือการสำรวมอย่างดีเท่านั้นแหละ เป็น
ของจริง.

คาถานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ว่า แม้ผู้มีเวทมนต์ตั้งพันบทอาศัย
ความเป็นพหูสูตนั้น แต่ยังไม่บรรลุจรณะ ก็จะเปลื้องตนออกจากทุกข์
ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมภาพจึงเข้าใจว่า พระเวท 3 คัมภีร์
เป็นสิ่งที่ไร้ผล จรณะที่มีศีลอิงสมาบัติ 8 เท่านั้นเป็นของจริง.
ปุโรหิตได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาที่ 6 ว่า :-
พระเวทไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีผลเลย จรณะ
คือการสำรวมระวังเท่านั้น เป็นของจริงก็หามิ
ได้ คนอาศัยพระเวทแล้ว ได้รับเกียรติก็มี ผู้
ฝึกตนแล้วด้วยจรณะ จะบรรลุความสงบได้.

คาถานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ คือ ไม่ใช่พระเวท 3 อย่างไม่มี
ผล ไม่เฉพาะจรณะ คือ การสำรวมระวังเท่านั้นเป็นของจริง คือดีกว่า
ได้แก่สูงสุด หมายความว่าประเสริฐ. เพราะเหตุไร ? เพราะคนอาศัย
พระเวท คืออาศัยพระเวท 3 อย่าง ได้รับเพียงเกียรติ เพียงยศ เพียง
ลาภเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้น พระเวทเหล่านั้นจึง
ชื่อว่า ไม่มีผล. บทว่า สนฺตํ ปุเนติ จรเณน ทนฺโต ได้แก่ผู้ฝึก
ตนด้วยจรณะแล้วจะบรรลุความสงบได้ ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้
สมาบัติเกิดขึ้น เจริญวิปัสสนามีสมาบัติ เป็นปทัฏฐาน ย่อมบรรลุความ
สงบโดยส่วนเดียว คือธรรมอย่างเอกที่มีชื่อว่าพระนิพพาน.

ปุโรหิตหักล้างคำของท่านเสตเกตุดาบสอย่างนี้แล้ว ได้ทำดาบส
เหล่านั้นทั้งหมดให้เป็นคฤหัสถ์ คือให้สึก ให้ถือโล่และอาวุธ จักให้
เป็นการกชนเป็นทหารหมู่ใหญ่ ให้ทำการบำรุงพระราชา. ได้ทราบว่า
นี้คือวงศ์ของการกชนหมู่ใหญ่.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า เสตเกตุดาบสในครั้งนั้น ได้แก่ภิกษุผู้โกหกในบัดนี้ บุตรของ
คนจัณฑาลในครั้งนั้น ได้แก่พระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนปุโรหิตได้แก่
เราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาเสตเกตุชาดกที่ 2

3. ทรีมุขชาดก



ว่าด้วยโทษของกาม



[843] กามทั้งหลายเหมือนหล่ม กามทั้งหลาย
เหมือนพุ ก็อาตมภาพได้ทูลถึงภัยนี้ ว่ามี
มูล 3 ธุลีและควัน อาตมภาพก็ได้ถวาย
พระพรแล้ว ข้าแต่มหาบพิตรพรหมทัต ขอ
พระองศ์จงทรงละสิ่งเหล่านั้น แล้วเสด็จออก
ผนวชเถิด.
[844] ดูก่อนพราหมณ์ โยมทั้งกำหนัด ทั้งยินดี
ทั้งสยบ อยู่ในกามทั้งหลาย ต้องการมีชีวิตอยู่
ไม่อาจละกามนั้น ที่มีรูปสะพึงกลัวได้ แต่โยม
จักทำบุญมิใช่น้อย.
[845] ผู้ที่ถูกผู้มุ่งประโยชน์ อนุเคราะห์ด้วย
ประโยชน์เกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ แต่ไม่ทำ
ตามคำสอน เป็นคนโง่ สำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้น
ประเสริฐ ว่าสิ่งอื่น จะเข้าถึงครรภ์สัตว์ แล้ว ๆ
เล่า ๆ.